กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวในไต้หวัน เมื่อ “โจว ไถ่อิ๋ง” โค้ชฟุตบอลหญิงชื่อดังโดนร้องเรียนว่าใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือ โดยระบุว่าในช่วงที่เธอศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยครูแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Normal University หรือ NTNU)


โค้ชรายนี้บังคับให้เธอบริจาคเลือดมากกว่า 200 ครั้ง เพื่อแลกกับหน่วยกิต และการเก็บเลือดนั้นดำเนินการโดยบุคลากรที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ โดยอ้างว่าเป็น “การทดลองวิจัยภายในมหาวิทยาลัย


เหยื่อกล่าวว่า “บางครั้งต้องเก็บเลือดต่อเนื่องถึง 14 วัน วันละ 3 ครั้ง ตั้งแต่ตี 5 จนถึงสามทุ่ม พอถึงวันที่ 8 แทบไม่สามารถหาหลอดเลือดในแขนได้อีก พวกเขาพยายามเจาะที่ข้อมือแต่ก็ไม่สำเร็จ มันทรมานมาก ฉันทนไม่ไหวแล้ว ร้องไห้ออกมา ต้องเจาะถึง 6 ครั้งกว่าจะได้”


หากนักเรียนคนใดไม่ยอม ก็อาจไม่ได้รับอนุญาตให้จบการศึกษาหรืออาจถึงขั้นถูกไล่ออก ทำให้เกิดกระแสให้นักเรียนคนอื่นออกมาแฉพฤติกรรมของโค้ชวัย 61 ปีรายนี้เช่นกัน โดยหนึ่งในนั้นอ้างว่าต้องขอลาพักการเรียนเนื่องจากถูกกลั่นแกล้งอย่างต่อเนื่องจากโค้ช



เหยื่อกล่าวว่า “บางครั้งต้องเก็บเลือดต่อเนื่องถึง 14 วัน วันละ 3 ครั้ง ตั้งแต่ตี 5 จนถึงสามทุ่ม พอถึงวันที่ 8 แทบไม่สามารถหาหลอดเลือดในแขนได้อีก พวกเขาพยายามเจาะที่ข้อมือแต่ก็ไม่สำเร็จ มันทรมานมาก ฉันทนไม่ไหวแล้ว ร้องไห้ออกมา ต้องเจาะถึง 6 ครั้งกว่าจะได้”


หากนักเรียนคนใดไม่ยอม ก็อาจไม่ได้รับอนุญาตให้จบการศึกษาหรืออาจถึงขั้นถูกไล่ออก ทำให้เกิดกระแสให้นักเรียนคนอื่นออกมาแฉพฤติกรรมของโค้ชวัย 61 ปีรายนี้เช่นกัน โดยหนึ่งในนั้นอ้างว่าต้องขอลาพักการเรียนเนื่องจากถูกกลั่นแกล้งอย่างต่อเนื่องจากโค้ช



โจว ไถ่อิ๋ง ถูกสื่อไต้หวันตั้งฉายาว่า “โค้ชแวมไพร์” นักเรียนบางคนที่หวาดกลัวว่าจะเรียนไม่จบหากไม่ทำตามคำสั่งของโค้ช ถึงกับยอมให้เก็บเลือดนับร้อยครั้งในเวลาไม่กี่วัน และบางรายถึงขั้นไม่สามารถหาหลอดเลือดเพื่อเก็บเลือดได้อีกต่อไป


หลังจากเหตุการณ์กลายเป็นประเด็นระดับประเทศ มหาวิทยาลัยได้ออกประกาศปลดโจวออกจากตำแหน่งทั้งด้านการบริหารและการฝึกสอน พร้อมโพสต์จดหมายขอโทษที่เขียนด้วยลายมือของเธอบนเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังคงเรียกร้องให้มีการลงโทษที่หนักกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยังไม่มีคำอธิบายว่าเหตุใดจึงมีการบังคับให้นักเรียนบริจาคเลือดจำนวนมากเช่นนั้น