🦋 สรุปโรคพุ่มพวง (SLE) ว่ากำเนิดมาจากอะไร ทำไมภูมิมาเล่นงานตัวเอง?


.


💥 โรคกลุ่มภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง (Autoimmune disease) คือโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันดันจดจำ ‘สารบางชนิด’ คิดว่าเป็นเชื้อโรค แล้วกรูเข้าทำลาย ซึ่งปัจจุบันมีหลายโรคมากกกกกก ขึ้นกับว่าภูมิมันเข้าใจสารไหนเป็นศัตรู อวัยวะที่มีสารนั้นก็จะซวย


ซึ่งโรคที่ชื่อดังเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มนี้คือ โรคพุ่มพวง (Systemic Lupus Erythematosus) โรคที่ภูมิคุ้มกันดันเล็งสารที่มีอยู่เกือบทุกเซลล์เป็นศัตรู


สารนั้นคือ สารพันธุกรรม (DNA) และ โปรตีนที่เกี่ยวข้อง ค่ะ


.



.


🌪️ 〖 ต้นกำเนิดของโรคนี้คืออะไร 〗


น่าเสียดายที่โรคกลุ่มนี้ ไม่ค่อยมีคนร้ายเดี่ยวๆ เข้าใจง่ายๆ แบบเบาหวาน - ดื้ออินซูลิน อะไรแบบนี้ให้โทษ


แต่มักจะเกิดจากการมี “พายุความซวย” ของหลากหลายปัจจัยที่มาบรรจบกัน พันธุกรรม ภูมิคุ้มกัน และสิ่งแวดล้อม มาลงเอยอยู่ในคนเดียวกัน


.


1️⃣ เกิดเหตุการณ์ผิดพลาดที่ทำให้เม็ดเลือดขาวกบฎไม่ถูกกำจัด (Autoimmunity)


ปกติแล้วเม็ดเลือดขาวกลุ่มนายพลนามว่า T cell และ B cell ที่คุมบังเหียนบัญชาการสั่งทีมภูมิคุ้มกันในภาพรวม จะมีความสามารถ ‘จดจำ’ สารของศัตรูที่จำเพาะ


แต่ในบรรดานายพลนับล้าน จะมีบางตัวดันจดจำ ‘สารพวกเดียวกันเอง’ คือมันไม่ได้ตั้งใจ แต่มันบังเอิญสร้างเซนเซอร์มาตรงน่ะนะ พวกนี้เราชอบเรียกว่า กลุ่มเม็ดเลือดขาวกบฎ (Autoreactive T cell/B cell) ซึ่งก็ขึ้นกับสารนั้นคืออะไร ถ้าสารนั้นคือ สาร DNA หรือโปรตีนที่เกี่ยวข้อง ก็จะเป็นโรค SLE ในบทความนี้


ปกติพวกนี้จะถูกกำจัดตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของชีวิต แต่หลายครั้งก็ดันเล็ดรอดออกมาพร้อมใช้งานข้างนอก ซึ่งปรากฏการณ์นี้ควรจะเกิดน้อยมาก แต่บางคนที่มีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างจะเกิดมากกว่าคนทั่วไป จึงมีโอกาสสุ่มเจอมาก


.


👏 แต่ใดๆ ก็ตาม ปรบมือข้างเดียวมันไม่ดัง

ไม่ใช่ว่ากบฎมันรอดมาแล้ว มันจะทำงานเลย มันแค่มาประจำตำแหน่งอยู่เงียบๆ จนกว่าจะเจอเชื้อโรคที่ตรงกับมันจริงๆ ในที่นี้ก็คือเจอ สาย DNA ที่มันจดจำว่าคือศัตรูมาอยู่ตรงหน้า มันถึงจะโดนปลุกให้มานำทัพกำจัดร่างกายตัวเอง


.


2️⃣ เม็ดเลือดขาวพลทหารดันเก็บสารพวกเดียวกันไปฟ้องนายพล (Abnormal presenting antigen)


จู่ๆ นายพล T cell จะไม่ทำงานเอง ต้องมีเม็ดเลือดขาวพลทหารอย่าง Dendritic cell หรือ Macrophage มันกินเชื้อโรคแล้วเอาตัวอย่างมาฟ้อง แล้วถ้านายพล T cell คนนั้นดันออกแบบมาให้จำเพาะกับเชื้อโรคตัวนั้น นายพลก็จะถูกเลือกให้บัญชาการรบ


เวลาเอาตัวอย่างสารมาฟ้อง มันจะต้องใส่ก้านชู (MHC class II) แปะไว้ผิวเซลล์แล้วไปให้นายพล T cell ดู ซึ่งก้านชูพวกนี้ในมนุษย์แต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันอีกเพราะยีนที่ใช้สร้างก้านชูไม่เหมือนกัน (ยีนชื่อ HLA ไง เคยได้ยินชื่อนี้มั้ย)


ดังนั้น มันต้องมีเหตุการณ์ซวยอันดับที่ 2 คือ คนนั้นดันมีโครงสร้างก้านชูที่ให้ DNA เสียบได้ด้วย ไม่งั้นฟ้องนายพลไม่ได้ค่ะ และแน่นอนว่าก่อนหน้านั้นเม็ดเลือดขาวพลทหารตัวนี้ก็ต้องไปหยิบ DNA พวกเดียวกันเองมาก่อนด้วย


.


3️⃣ มีปัจจัยแวดล้อมบางอย่างทำให้ DNA ปรากฏตัวให้เม็ดเลือดขาวเห็นนานกว่าปกติ


ปกติแล้วสารพวก DNA พวกนี้มันอยู่ลึกมากๆ ในเซลล์ ไม่มีทางออกมาเดินเล่นข้างนอก เว้นเสียแต่ว่ามีเซลล์ตๅยเกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่ได้มีเยอะมากในภาวะปกติ


แต่บางภาวะ เช่น ผิวหนังที่โดนรังสี UV จากแดด มันจะมีเซลล์ผิวหนังบางส่วนเสียหาย แล้วปลดปล่อยสาย DNA ออกมาได้ หรือ ณ ตอนนั้นมีการติดเชื้อบางอย่าง ที่เม็ดเลือดขาวต้องสู้กับข้าศึกจนกระทั่งตัวตๅย ก็มีโอกาสที่เศษ DNA จากศwมันจะหลุดออกมา


ถ้าโชคร้ายคนนั้นมีข้อ 1 และข้อ 2 ก็มีโอกาสสูงที่จะเริ่มเกิดโรค SLE หรือถ้ามีโรค SLE อยู่แล้ว ก็จะทำให้อาการกำเริบได้ คนที่เป็นโรคนี้จะทราบดีว่า ช่วงไม่สบายติดเชื้อ หรือโดดแดด อาการมักจะกำเริบค่ะ


.


🎮 จะเห็นว่าจะเกิดได้ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องมีถึง 3 เหตุการณ์เหมาะเจาะคือ

⚠️นายพลกบฎรอด และต้องเป็นนายพลที่จดจำสาย DNA ด้วย

⚠️พลทหารมีโครงสร้างก้านชูที่เอา DNA มาถือได้

⚠️ต้องมีซาก DNA อยู่นานพอให้พลทหารมาเจอ แล้วเก็บไปฟ้องได้


ดังนั้นในคนปกติทั่วไปจึงเกิดยากมาก ยากกว่าถูกหวยรางวัลที่ 1 อีก มันจึงมักจะเกิดจากคนที่มีปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง ‘เพิ่มโอกาส’ ในแต่ละขั้นตอน


.



.


🔑 〖 ปัจจัยอะไรบ้างที่เพิ่มความน่าจะเป็นมากขึ้น 〗


.


1️⃣ พันธุกรรม (Genetic risk)


คนที่มียีนบางชนิด จะเพิ่มโอกาสสำเร็จของแต่ละขั้นตอนมากขึ้น เช่น


🎯 มีพันธุกรรมที่ทำให้ก้านชูตัวอย่างเชื้อโรค (MHC) บนตัวเม็ดเลือดขาวพลทหาร ที่สามารถจับกับพวกสาย DNA ของเราเองได้


🎯 มีพันธุกรรมที่เกี่ยวกับการกำจัดเศษ DNA ช้ากว่าปกติ ทำให้เวลามีเซลล์ตๅยแล้ว กำจัด DNA ออกไปได้ช้ามาก


🎯 มีพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายสร้างสารสื่อสารภูมิคุ้มกันที่ชื่อ Type I Interferon (IFN-I) ได้แรงผิดปกติ ซึ่งสารนี้จะช่วยให้ขั้นตอนที่พลทหารฟ้องนายพล แล้วเกิดการกระตุ้นเกิดได้แรงขึ้น


🧬 งานวิจัยพบว่า มากกว่า 150 ตำแหน่งของยีน เกี่ยวข้องกับ SLE ค่ะ


.


2️⃣ สิ่งแวดล้อมและตัวกระตุ้น (Triggers)


เช่น


☀️ รังสี UV → ทำให้เซลล์ผิวหนังแตก ปล่อย DNA ออกมามากขึ้น

🦠 ติดไวรัสบางชนิด → กระตุ้นให้ร่างกายสร้าง IFN-I ซึ่งผลักดันให้คนที่มีกลไกข้างบนอยู่แล้วเกิดรุนแรงขึ้นจนห้ามไม่ทัน

🦠 งานใหม่ยังชี้ว่า “จุลินทรีย์ในลำไส้” บางชนิด เช่น Enterococcus gallinarum อาจเล็ดลอดเข้าสู่เลือด กระตุ้น B cell กบฎนั้นเริ่มสร้างแอนติบอดีด้วย เพราะโครงสร้างหน้าตาคล้ายกับสารพันธุกรรม


.


3️⃣ กลไกปลดผนึก/ปิดผนึก DNA (Epigenetics)


บางคนรับปัจจัยบางอย่างมา ทำให้สาย DNA ผลิตโปรตีนบางชนิดมากขึ้นหรือน้อยลงเป็นพิเศษที่ส่งเสริมการเกิด SLE เช่น

▪️ การโดนแดดทำให้บางยีนที่ตอบสนองต่อ IFN-I ถูกเปิดตลอดเวลา ถ้าตอนนั้นมีกลไกการกำเนิดกบฎอยู่ก็จะเกิดรุนแรงขึ้น

▪️ ความเครียด อาหาร หรือสารพิษ ทำให้เกิดปิดผนึกบางโปรตีนที่คอยยับยั้งกลไกเกิดโรค


.



.


📌 〖 แล้วโรคนี้เกิดขึ้นได้ยังไงในภาพรวม? 〗


.


🌀 จินตนาการว่าร่างกายคือ “เมืองที่มีระบบป้องกันตัวเอง”

• เมืองนี้ดันผลิตนายพลกบฎแล้วหลุดการคัดกรอง

• มีตัวกระตุ้น เช่น ไวรัสหรือ UV = ทำให้มีโอกาสที่ DNA จะหลุดออกมาบ่อย

• มีพันธุกรรมเสี่ยงที่ทำให้พลทหารหยิบสาย DNA มาฟ้องนายพลกบฎ

• มีพันธุกรรมหรือแวดล้อมบางอย่างที่ทำให้สาร IFN-I ออกมาเต็มที่ ก็ยิ่งเร่งกลไกข้างบน

• เมื่อทุกอย่างเหมาะเจาะ ก็จะกำเนิดนายพล T cell และ B cell ที่จดจำสาย DNA เป็นศัตรูเข้าจู่โจมอวัยวะต่างๆ ที่มีสิ่งนี้อยู่ใกล้ๆ


✔️ นายพล B cell สร้างแอนติบอดีไล่จับ DNA ในเลือดประหนึ่งเชื้อโรค ซึ่งมีโอกาสที่จะไหลไปติดตามผนังหลอดเลือด แล้วเม็ดเลือดขาวก็วิ่งไปกำจัดเพราะคิดว่าเป็นเชื้อโรค หลอดเลือดบริเวณนั้นก็ซวยเลย ถูกทำร้ายจนอักเสบ ขึ้นกับว่าเกิดเหตุที่อวัยวะไหน ทำให้ SLE โดนหลายระบบมากค่ะ


.



.


✅ 〖 สรุปแบบสั้นๆ 〗


✔️ พันธุกรรมเสี่ยง + ตัวกระตุ้น (เช่น UV, ไวรัส) + ภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองแรงผิดปกติ

→ ทำให้นายพลกบฎมีโอกาสมาเจอกับพลทหารที่หยิบชิ้นส่วน DNA มาฟ้องมากขึ้น, DNA ลอยอยู่นานขึ้น

→ นายพลได้รับการกระตุ้น ไล่ทำลายจุดที่มีซาก DNA ลอยไปมา ผนังหลอดเลือดเลยจึงมักจะซวย เกิดการอักเสบหลายระบบ


✔️ โอกาสเกิดพร้อมกันเหมาะเจาะต่ำมาก ต้องมีหลายปัจจัยเสี่ยงมาเจอกัน พอดีกันค่ะ


Cr:Manifia